Tuesday, 8 February 2011

ความรักในภาษากรีกใช้ 4 คำ คือ และความรักของมนุษย์/พระเจ้า

 
ความรักในภาษากรีกใช้ 4 คำ คือ

1.ฟิเลียส (Philios) เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ เราเกิดมา โดยสันดาน มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ
2. สตอรเก้ (Storge) เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเก้ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมา ตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรา มีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา
3. อีรอส (Eros) อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว เป็นรักที่ไม่แน่นแฟ้นหรือถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ จึงกล่าวว่า คนรัก (Lover) หมายถึง คนที่รักในความสวยงาม
4. อกาเป้ (Agape) ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก  โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
       รักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอกาเป้อาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอกาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า
   อกาเป้   เป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข

ความรักของมนุษย์/พระเจ้า
1. รักแบบมนุษย์  รักแบบมีเงื่อนไข
      คนไทยเราใช้คำว่ารักแบบครอบจักรวาล เช่น รักพ่อรักแม่ รักรถรักบ้าน รักเงิน รักแฟน รักสัตว์ฯลฯ
      แต่ส่วนใหญ่เป็นความรักแบบมีข้อแม้และมีเงื่อนไขฉันจะรักถ้าหากคุณเป็นคนดีบางคนนิยามความรักว่ารักแท้คือแม่ข้า รองลงมาคือแม่โขง”  “รักดีรีบมีผัว รักชั่วอยู่ตัวคนเดียว”  “รักดีกินถั่วรักชั่วกินเหล้า รักทั้งดีและชั่วกินถั่วแกล้มเหล้า

2.รักของพระเจ้าคือ รักนิรันดร์
2.1.พระเจ้าทรงเป็นความรัก  เซนต์วาเลนตินัสมิได้มีความรักด้วยตนเอง แต่ท่านได้รับความรักนั้นจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยน. 4.7)
2.2. ความรักคือการเสียสละ (ช่วยตนเองให้รอดพ้นจากและบึงไฟนรกไม่ได้)พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในขณะที่เราเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตร(พระเยซู)สิ้นพระชนม์” (รม. 5.6-11)
     เราอาจจะให้โดยปราศจากความรัก แต่เป็นไปไม่ได้ถ้ามีความรักแล้วจะปราศจากการให้
2.3.ความรักย่อมมีการแสดงออก ความรักพี่น้องทั้งหลายนั้น ไม่จำเป็นที่ให้ใครเขียนถึงท่านอีก เพราะว่าพระเจ้าทรงสอนท่านเองให้รักอยู่แล้ว” (1 ธส. 4.9)  “รักซึ่งกันและกัน
    : ไม่ใช่ระฆังหากไม่มีการตี ไม่ใช่เพลงถ้าไม่มีการขับขาน และไม่ใช่ความรักถ้าไม่มีการแสดงออก”  2.4.บอกความรักของพระเจ้าแก่คนอื่น
      เมื่อหญิงสะมาเรียได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอดที่บ่อน้ำแล้วทิ้งหม้อน้ำไว้ แล้วเข้าไปในเมืองเพื่อบอกเรื่องพระเยซูคริสต์แก่ประชาชน (ยน. 4.28-29)
      ชายที่ป่วยเป็นอัมพาตมาเป็นเวลานานถึง ๓๘ ปี พระเยซูได้รักษาเขาให้หาย ชายคนนี้ได้ลุกขึ้นไปบอกเรื่องความรักของพระเจ้าแก่คนทั้งปวง (ยน. 5.15) วันนี้ขอให้เราไปบอกสักคนหนึ่งถึงเรื่องความรักของพระเยซูคริสต์ หรือยัง
สรุป
       พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน และยอมสละพระบุตรให้ลงมาตายที่บนไม้กางเขนเพื่อไถ่โทษบาปของเรา   วาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรัก นั่นเป็นความจริง แต่ไม่ควรแสดงความรักต่อกันปีละหนึ่งวันเท่านั้น  ความรักของพระเจ้าที่ผ่านมาทางคริสเตียน ควรจะสำแดงออกจากชีวิตทุกๆวันและตลอดทั้งปี
     ความรักที่แท้จริงมิใช่เกิดขึ้นจากความรู้สึก อารมณ์ หรือเมื่อถูกกระตุ้น แต่จากการที่คนหนึ่งคนใดได้พบกับพระเยซูคริสต์เป็นส่วนตัว
 ความรักที่แท้จริงไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไข แต่เป็นความรักที่ดำรงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ และความรักที่แท้จริงคือ การเสียสละ.

No comments:

Post a Comment

เชิญร่วมแสดงความคิดเห็นต่างๆได้นะครับ